การเปิดใช้งาน 2-Step Verification ใน Gmail เพื่อให้ Email สามารถใช้งานใน Outlook ได้

รู้หรือไม่ว่าในปัจจุบันนี้การใช้งานบัญชี Gmail (Google Workspace) และ การใช้งาน Outlook นั้น มีความจำเป็นอย่างมากในชีวิตประจำวัน เพราะในการรับ-ส่ง อีเมล (Email) นั้น มีทั้งการใช้งานอีเมล (Email) ในบริษัท หรือการใช้งานอีเมล (Email) ส่วนตัว รวมถึงการทำธุรกรรมต่างๆ และสมัครใช้งานแอปพลิเคชั่น (Application) ล้วนแล้วแต่ต้องใช้บัญชีอีเมล (Email) ในการยืนยันตัวตนว่าบุคคลที่ใช้งานเป็นคุณจริงๆ และการใช้งานที่จำเป็นนั้นเองก็ย่อมมีความเสี่ยงเพราะระบบอีเมลที่คุณป้องกันเพียงแค่การใส่รหัสผ่านแค่ชั้นเดียวนั้นอาจทำให้โดนผู้ไม่หวังดีหรือแฮกเกอร์ (Hacker) ขโมยข้อมูลของคุณไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งถ้าหากโดนขโมยข้อมูลไปแล้วนั้นก็อาจจะทำให้คุณมีความเสียหายตามมาทีหลัง เช่น เงินในบัญชีธนาคารสูญหาย หรือ การนำข้อมูลส่วนตัวไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร แต่ถ้าหากว่าคุณมีการป้องกันบัญชีอีเมล (Email) ไว้เป็นอย่างดีปัญหาเหล่านี้ก็จะหมดไป บทความนี้จะมาแนะนำวิธีการตั้งค่าการยืนยันตัวตนแบบ 2 ชั้นด้วย 2-Step Verification หรือ 2 Factor Authentication หรือ 2FA

2-Step Verification หรือ 2 Factor Authentication หรือ 2FA คืออะไร ?

2-Step Verification หรือ 2 Factor Authentication หรือ 2FA คือ การเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมล (Email) ด้วยรหัสผ่าน 2 ชั้น หรือการยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอน เป็นการป้องกันให้บุคคลอื่นเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมล (Email) ของคุณได้ยากขึ้น เมื่อทำการเปิดใช้งาน 2-Step Verification แล้ว เมื่อมีการเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมล (Email) จะมีการทำงาน ดังนี้

  • เมื่อเข้าสู่ระบบจะใส่ชื่อบัญชีอีเมล (Email) และรหัสผ่าน ตามปกติ
  • จากนั้นระบบจะให้ใส่รหัสชุดพิเศษอีกครั้ง โดยระบบจะส่งรหัสความปลอดภัยมาทางอีเมล (Email) หรือ โทรศัพท์มือถือ จากนั้นนำรหัสความปลอดภัยมากรอกอีกครั้ง

และเนื่องจากรหัสความปลอดภัยนี้มีอายุอยู่ได้เพียงแค่ 1 นาทีเท่านั้น เมื่อมีการเข้าสู่ระบบอีกครั้งรหัสความปลอดภัยนั้นก็จะเปลี่ยนเป็นชุดใหม่ การเปิดใช้งาน 2-Step Verification ก็จะทำให้ข้อมูลของเรามีความปลอดภัยมากขึ้น

2-Step Verification มีความสำคัญอย่างไร ?

อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่าการใช้งานบัญชีอีเมล (Email) นั้นมีความสำคัญ ถึงแม้โดยปกติแล้วจะมีการใส่รหัสผ่านก่อนเข้าใช้งานเสมอ และรหัสผ่านนั้นก็จะมีความรัดกุมเป็นพิเศษ เพราะโดยทั่วไปจะไม่นำรหัสผ่านที่ใช้เข้าสู่ระบบบัญชีอีเมล (Email) ไปใช้ร่วมกับการใช้งานที่อื่น แล้วการตั้งรหัสผ่านนั้นก็จะมีการใส่ตัวเลขและตัวอักษรพิเศษที่ยากต่อการคาดเดา แต่การถูกโจรกรรมข้อมูลหรือการถูกแฮก (Hack) ข้อมูลนั้นก็มีให้เห็นอยู่มากมาย ล้วนแล้วแต่เกิดจากความไม่ตั้งใจ เช่น ถ้าคุณชอบเข้าเว็บไซต์ (Website) ดาวน์โหลดโปรแกรมเกมส์หรือโปรแกรมอื่นๆ หรือซอฟต์แวร์ (Software) จากอินเทอร์เน็ต (Internet) หรืออีเมล (Email) แปลกปลอม ก็อาจจะมีไวรัส (virus) ติดมาด้วย รวมถึงบางครั้งสำหรับใครที่ขี้ลืมอาจจะใช้รหัสผ่านชุดเดียวกันกับหลายบัญชี เช่น Facebook IG หรือ Twitter เป็นต้น และที่พบเจอบ่อยครั้งคือ การเข้าสู่ระบบบัญชีอีเมล (Email) ในเครื่องคอมพิวเตอร์ (Computer) ที่ไม่ใช่ของตัวเองอาจจะลืมออกจากระบบ และคอมพิวเตอร์ (Computer) เครื่องนั้นๆ อาจถูกตั้งค่าให้จดจำรหัสผู้ใช้ เพื่อเข้าใช้งานอัตโนมัติ ซึ่งถ้าเป็นคอมพิวเตอร์ (Computer) ที่ทำงานใครก็สามารถเข้าอีเมล (Email) ของคุณได้ สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นภัยที่เกิดจากการไม่ตั้งใจแต่อาจทำให้ถูกขโมยข้อมูลไปใช้ในทางไม่ดีได้ เพราะฉะนั้นการเปิดใช้งาน 2-Step Verification หรือการยืนยันตัวตนแบบ 2 ขั้นตอนนั้นสำคัญอย่างมากที่จะช่วยป้องกันข้อมูลที่สำคัญของคุณให้รอดพ้นจากการถูกโจรกรรมได้

การเปิดใช้งาน 2-Step Verification ใน Gmail สำคัญอย่างไรต่อการใช้งาน Outlook

การนำบัญชีอีเมล (Email) ใน Gmail (Google Workspace) มาใช้งานในโปรแกรม Microsoft Outlook นั้นสามารถทำได้ แต่มีข้อจำกัดมากขึ้นคือไม่สามารถที่จะเพิ่มบัญชีอีเมล (Email) แบบเมื่อก่อนได้แล้วเนื่องจากทาง Google เล็งเห็นถึงความปลอดภัยของการใช้งานและในปัจจุบันนนี้การถูกเหล่า Hacker ทำการ Hack ข้อมูลในระบบก็มีมากมายและเห็นอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นการจะนำอีเมล (Emai) ใน Gmail (Google Workspace) มาใช้งานใน Outlook จึงจำเป็นต้องเปิดใช้งาน 2-Step Verification ใน Gmail (Google Workspace) เสียก่อนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการใช้งานอีเมล (Email) และป้องกันข้อมูลที่สำคัญของคุณได้มากยิ่งขึ้น